สวัสดีค่า วันนี้เราจะมาแชร์วิธีการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง กลุ่มของสินค้าที่ได้รับการสนใจจะเป็น สกินแคร์ เครื่องสำอาง คอนแทคเลนส์ อาหารเสริมและ เสื้อผ้า เพื่อเป็นแนวทางในการเริ่มต้นนะคะ
ไปเริ่มกันเลยค่ะ
1.ทุกคนมักจะเริ่มคำถามด้วย จะขายอะไรดี และแน่นอนว่า เราอยากขายสินค้าที่คนอื่นเค้าขายดี แต่ถ้าทำตามเลยก็คือจบ ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง พยายามเลือกสินค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เช่น ถ้าเป็นคนผิวดี และชอบบำรุงผิว อาจเลือกทำสกินแคร์ ถ้าหุ่นดีชอบแต่งตัวอาจผลิตเสือผ้ามาขาย
2.หาข้อมูลสินค้า
2.1 หาจาก google เก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งตัวสินค้า โรงงาน การตลาด
2.2 อาจไปเดินช้อปปิ้ง ไปงานแสดงสินค้า จะได้เปิดกว้างมีไอเดียมากขึ้น
สินค้าแบ่งออกเป็น
- สินค้าที่มีอยู่ในตลาดแล้ว
ข้อดี หาข้อมูลง่าย เอามาพัฒนาต่อได้ ขายง่าย คนรู้จักกันแล้ว
ข้อเสีย มีของในตลาดเยอะแล้ว การแข่งขันสูง ต้องหาจุดเด่น - สินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้อดี แปลกใหม่ น่าสนใจ ดึงจุดสนใจง่าย แตกต่าง
ข้อเสีย ใช้เวลาพัฒนาสูตรนาน อาจเป็นปี และต้องใช้เวลานานในการทำให้ลูกค้ารับรู้เข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์
3.คิดชื่อแบรนด์ / สินค้า
ถ้าใครคิดไม่ออก มีเว็บบริการอย่าง fastwork ช่วยเราด้วย
ส่วนเรามักจะคิดชื่อสั้นๆเรียกง่าย เขียนง่าย ให้คนจดจำได้ บางคนอาจใส่ชื่อตัวเองลงไปในสินค้าหรือแบรนด์ ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้ฝากติดตามผลงานของเราด้วยนะคะ
4.หาโรงงานที่จะผลิต
บางผลิตภัณฑ์ใช้โรงงานเดียว และบางผลิตภัณฑ์ใช้หลายโรงงาน วิธีการเลือกโรงงานคือ “มาตรฐาน” ต้องมาเป็นอันดับ1 เพราะเป็นความน่าเชื่อถือของสินค้าเรา และโรงงานมีความสามารถที่จะผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของเราได้ ค้นหาใน google ได้เลย เอาที่ถูกใจและพร้อมพูดคุยสอบถามให้คำแนะนำเราได้
5.พัฒนาสูตร
นอกจากกลิ่นสีรสชาติแล้ว “ผลลัพธ์” คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ในการผลิตอะไรออกมาจึงต้องลองใช้ ซึ่งตรงส่วนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานนิดนึงค่ะ อย่างสินค้าของเรา ใช้เวลาคิดผลิตและพัฒนารวมสองถึงสามปีเลย หลังจากนำออกมาขายแล้วก็เก็บฟีดแบคจากลูกค้ามาพัฒนาต่ออีก
6.ออกแบบแพคเกจจิ้ง
เคยได้ยินใช่ไหมคะ แพคเกจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะเป็นความประทับใจแรกที่ลูกค้าจะได้เห็นเลย สามารถจ้างให้คนออกแบบหรือให้โรงงานทำให้ก็ได้ค่ะ เราจะออกแบบคร่าวๆ ใส่ไอเดียสีสันที่ชอบลงไป เพื่อเป็นเรฟและส่งต่อให้คนออกแบบทำ ค่าใช้จ่ายในการออกแบบไม่เยอะ แต่ค่าใช้จ่ายในการผลิตแพคเกจจิ้งเยอะเพราะจะมีเรื่องของขั้นต่ำ
7.ถ่ายรูปสินค้าและทำสื่อเพื่อไปใช้ทำการตลาด
ถ่ายสินค้ารูปแบบใหม่ๆ หานางแบบให้เข้ากับสินค้า หรือใช้ตัวเองเป็นแบบเลยก็จะประหยัดงบได้ด้วย ใส่คุณสมบัติ ข้อมูลต่างๆลงในรูปให้ชัดเจน ทำสื่อให้เยอะเพื่อใช้งานในหลายๆ social media
8.วางแผนการตลาด
ตลาดส่วนใหญ่มาอยู่ในรูปแบบออนไลน์เยอะแล้ว เราจะต้องอัพเดทเทรนด์ให้รวดเร็วตามกระแสตามโลกให้ทันอยู่เสมอ การตลาดออฟไลน์เช่น ไปออกบูธ ทำใบปลิว โฆษณาตามรถ ซึ่งการตลาดต้องทำในทุกๆเดือน เตรียมค่าใช้ส่วนนี้เผื่อไว้ค่ะ
9.เปิดตัวสินค้า
เตรียมช่องทางการขายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เตรียมระบบหลังบ้านให้พร้อม ตั้งราคาขายให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย พอสินค้าผลิตเสร็จ ลงทุกช่องทาง อัพเดทบ่อยๆ เปิดรับตัวแทน ดูยอดขาย และเตรียมสั่งผลิตในลอตถัดไปเนื่องจากต้องใช้เวลา สินค้าอาจขาดช่วง
เรื่องค่าใช้เริ่มต้นหลักแสนค่ะ
สกินแคร์ แสนต้นๆ
อาหารเสริม 3-5 แสน
คอนแทคเลนส์ 2-3 ล้าน
สิ่งทอ 5แสน
จุดเริ่มต้นอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ ขึ้นอยุ่กับสเปคสินค้า ขั้นต่ำของแต่ละที่ บางสินค้าแบ่งจ่ายเป็นก่อนผลิตและหลังผลิต ในส่วนของการตลาดลอตแรกจะใช้เงินเยอะนิดนึงค่ะ ส่วนลอตถัดไปก็ลดลงได้ และดูแนวโน้มในแต่ละเดือนอีกครั้ง
เราเชื่อว่าขายสินค้ามีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม มีการวางแผนงานมาก่อน และทำต่อเนื่อง ยังไงก็มีกำไรกลับมาค่ะ ตั้งใจ อดทน สำเร็จแน่นอนค่ะ
สำหรับใครที่มีกำลังทรัพย์ เดี๋ยวนี้มีรูปแบบ OEM และมีที่ปรึกษา จ่ายเงินทีเดียวจบเพื่อความรวดเร็วก็มีค่ะ ข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเยอะ
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังจะเริ่มทำอะไรซักอย่าง ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ อย่ากลัวการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ไม่มีใครเก่งตั้งแต่แรก ลงมือทำและพัฒนาต่อไปค่ะ ติดขั้นตอนไหนหลังไมค์มาปรึกษาได้นะคะ